วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ของหมักดอง ได้ประโยชน์แถมอร่อย


เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ความจริงอีกด้านของอาหารหมักดองก็ถูกเปิดเผย โดย
เฉพาะสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายต้องการในแบบที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ แต่สิ่งนั้นอยู่ในของหมักดอง!

อาหารทุกชาติภาษา ล้วนแต่มีอาหารประเภทหมักดองทั้งนั้น เช่น เกาหลีมีกิมจิ ฝรั่งมีโยเกิต ญี่ปุ่นมี
มิโซะ โปแลนด์มีซาวเออร์เคร้าท์ และอินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรม ก็มีอาหารที่มีของหมักดองเรียกว่าลาสซี่ เมื่อเอ่ยถึงของหมักดอง เราอาจจะนึกถึงข้อเสียมากกว่าข้อดี แต่ของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเลือกให้ดีและ
เหมาะสมก็มีประโยชน์และยังอร่อยอีกด้วย ที่สำคัญในของหมักดองยังมีสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายต้องการแต่ไม่สามารถผลิตเองได้ด้วยนะคะ
  • รู้เรื่องการดองกันก่อน
    โดยทั่วไปการดองแบ่งเป็น 2 อย่างง่ายๆ คือ การดองเปรี้ยวและการดองเค็ม การดองเปรี้ยวทำได้ 2
    แบบ แบบแรก ดองอาหารในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นไม่มาก ประมาณ 5 - 8% แบบที่ 2 ทำโดยดองอาหารไว้ในน้ำส้มสายชูที่ปรุงเสริมให้กลมกล่อมด้วยน้ำตาล เกลือ และเครื่องเทศ ส่วนการดองเค็ม ทำได้โดยดองอาหารไว้ในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูงประมาณ 20 - 25% อาหารที่ได้จะมีรสเค็มและ
    สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอาหารดองเปรี้ยว
  • หมักดองสร้างของดี
    ในกระบวนการหมักดองจนได้ที่ช่วยเพิ่มปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ตัวดี ซึ่งช่วยสร้างรสชาติอร่อยอย่างรส
    เปรี้ยว อันเกิดจากจุลินทรีย์ย่อยคาร์โบไฮเดรตจนกลายเป็นกรดแลคติก เจ้าเชื่อจุลินทรีย์ตัวดียังไปฆ่า
    เชื้อจุลินทรีย์ตัวร้าย อย่างเช่น แบคทีเรียอีโคไลที่อยู่ในผักสด ของสด แต่ไม่สะอาด มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง จนได้ของดีเอาไว้กิน นอกจากนั้น เชื้อจุลินทรีย์ตัวดีนี้ยังสร้างวิตามินและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายด้วย ซึ่งถ้าเป็นอาหารหมักดองในกลุ่มพืช เช่น ผักดอง ถั่วหมักดอง นัตโตะ จุลินทรีย์ในกลุ่มแบคทีเรียบาซิลัส ซับทีลิส ก็จะช่วยย่อยให้เกิด วิตามิน B2 หรือไรโบฟลาวิน ที่มี
    บทบาทช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกาย เพราะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ขณะเดียวกัน ยังทำหน้าที่เสมือนสารต้านอนุมูลอิสระ และแปลงวิตามิน B6 และโฟเลตให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้ อันเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตและการสร้างเม็ด
    เลือดของร่างกาย ตามมาด้วย วิตามิน B12 ที่ช่วยสังเคราะห์ดีเอ็นเอและการเจริญเติบโตตามปกติของเม็ดเลือดแดง แถมยังช่วยลดการสะสมไขมันในตับ และป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
รู้หรือไม่?
การหมักดองจะช่วยรักษาและเพิ่มวิตามิน เช่น วิตามินบี 1 ในหัวไช้เท้าดองจะเพิ่มขึ้น 12
เท่าจากหัวไช้เท้าสด และให้ใยอาหารมากกว่าผักสดถึง 4 เท่า (ในน้ำหนักที่เท่ากัน) เพราะเกลือทะเลทำให้ผักยุบตัวลง เราจึงกินได้มากขึ้น และได้ใยอาหารมากขึ้นไปด้วย
หากเป็นอาหารหมักดองในกลุ่มเนื้อสัตว์ ก็จะได้สารอาหารอย่าง อะมิโนแอซิด มาแทน ทั้งชนิดที่ร่างกายผลิตเองได้ และชนิดที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ โดยจะมีเชื้อจุลินทรีย์ตัวดีหลายตัวมาช่วยย่อย อาทิ
แบคทีเรียเปปไทด์ สำหรับอะมิโนแอซิด ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องการ เพราะโปรตีนในร่างกาย เช่น
กล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง เลือด เอ็น อวัยวะ ต่อม ผม เล็บ เอนไซม์ ฮอร์โมน แอนติบอดี้และของเหลวต่างๆ
(ยกเว้นน้ำดีและปัสสาวะ) ไม่สามารถถูกสร้างหรือคงอยู่ได้โดยปราศจากการรวมตัวกันของกรดอะมิโน

นอกจากนี้แบคทีเรียที่มีในอาหารหมักดอง จะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร และผลิตวิตามินบางอย่างให้ร่างกาย ทำให้ลำไส้ลื่น ซึ่งเป็นผลให้แบคทีเรียที่เป็นโทษไม่สามารถยึดเกาะเพื่อที่จะทำให้
ร่างกายเกิดเจ็บป่วยได้

ทั้งนี้เพียงแต่ต้องรู้จักกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป และเลือกกินของหมักดองที่ได้คุณภาพ
ผ่านการรับรองความสะอาดและปลอดภัยเป็นหลักนะคะ
รู้ไว้ใช่ว่า!
อาหารหมักดองเป็นของแสลงจริงหรือ?
โบราณมีความเชื่อว่า อาหารหมักดองเป็นของแสลง หรือเป็นอาหารที่อาจสร้างความเจ็บป่วยให้
กับผู้บริโภคบางกลุ่มได้ เช่น คนที่เพิ่งหายไข้หรือกำลังป่วยอยู่ สตรีมีครรภ์ เด็ก และคนชรา จึง
ห้ามคนเหล่านี้รับประทานอาหารหมักดอง อย่างไรก็ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารหมักดองด้วยเหตุผล
หลักดังนี้
1 ปริมาณโซเดียมหรือเกลือที่มีค่อนข้างสูง ไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่นผู้ป่วยมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ไตตับ หัวใจ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

2 ความสะอาด เนื่องจากในการหมักดองอาหารนั้นจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา หากไม่ควบคุมกรรมวิธีในทุกขั้นตอนให้สะอาดเพียงพอ ระหว่างการหมักดองก็อาจจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายเติบโตขึ้นในอาหารได้
3 สารปนเปื้อนอื่นๆ ข้อแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า วัตถุที่ใช้ปรุงรสอาหารหมักดองที่ดีก็ต้องเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างเกลือและน้ำตาล ไม่ใช้สารปรุงแต่งรสที่มีอันตรายซึ่งอาจตกค้างในร่างกายได้ อย่างสีที่มีสารประกอบของโลหะหนัก ขัณฑสกรหรือดีน้ำตาล
สารบอแร็กซ์หรือผงกรอบ เป็นต้น
ข้อแนะนำ
เพื่อให้อาหารหมักดองมีคุณค่ากับร่างกายอย่างแท้จริง เรามีข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่อยากให้คุณมองข้าม
ดังนี้ค่ะ
- หากเลือกได้ ควรจะเลือกบริโภคอาหารหมักดองที่ผ่านกระบวนการที่สะอาดและมีมาตรฐาน โดยดูจากฉลากและหีบห่อบรรจุภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน
- ใครที่กลัวว่ากินผักดองแล้วปริมาณเกลือจะมากเกินไป ควรกินผักดองสด มากกว่าผักดองแห้งซึ่งเก็บไว้ได้นาน
- ทำความสะอาดก่อนบริโภค ในกรณีที่ต้องซื้ออาหารหมักดองจากตลาดสดที่มักวางขายสินค้าไว้ในชามอ่างที่มีลักษณะเปิด หลังจากซื้อมาก็ควรจะทำความสะอาดโดยล้างน้ำเปล่าหลายๆ ครั้งเสียก่อน 
- ปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิสูงๆ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค เช่น บิดหรือท้องร่วง ด้วยการต้มหรือนึ่งในระยะเวลานานพอสมควร จึงจะถือว่าปลอดภัย
- ทำเองปลอดภัยกว่า หากคุณชอบรับประทานอาหารหมักดองบ่อยๆ ก็มีข้อแนะนำว่า น่าจะลองใช้วิธีดองหรือหมักอาหารที่บ้าน เพราะนอกจากจะสามารถควบคุมทั้งความสะอาด การใช้เครื่องปรุงรสที่มาจากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำตาล และน้ำส้มสายชู โดยปราศจากสารปนเปื้อนอื่นๆ ที่มักจะพบในอาหารหมักดองตามท้อง
ตลาด

สำหรับชาวญี่ปุ่น บรรดาผักดองจัดเป็นสโลว์ฟู้ด ซึ่งเป็นเคล็ดลับแห่งความเยาว์วัย โดยเวลานำมาทำ
อาหารต้องล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เป็นส่วนผสมในอาหารจานต่างๆ เพื่อช่วยชูรส จะช่วยให้รส
ชาติน่ากินขึ้นอีก ฉะนั้นอย่าลังเลที่จะเติมลงไปในอาหารทุกจานในครั้งหน้ากันนะคะ

ผักดอง ของประจำชาติคนทั่วโลก

     กิมจิ เกี้ยมไฉ่ ผักเสี้ยน ฯลฯ ทำความรู้จักกับนานาผักดองที่เริ่มต้นจากความต้องการถนอมอาหารเฉพาะถิ่นจนกลายเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาของคนทั่วโลก

ผักดองรสเค็มๆ เปรี้ยวๆ และเก็บไว้กินได้นานเป็นวัฒนธรรมอาหารอย่างหนึ่งของคนทั่วโลก โดยเฉพาะ
ในประเทศเมืองหนาวที่ต้องเก็บผักไว้กินในฤดูที่ไม่มีผัก แต่ละประเทศมีการใช้ผัก วิธีการดอง และวิธีการกินที่แตกต่างกันไป ลองมาทำความรู้จักกับผักดองของชาติต่างๆ กันค่ะ
  • ผักดองแบบไทยๆ
    เริ่มที่คนไทยก่อนเลยค่ะ ภูมิปัญญาพื้นบ้านของเราใช้น้ำซาวข้าวดองผักพื้นบ้าน เช่น ผักเสี้ยน ผัก
    หนาม ผักกุ่ม ซึ่งคนรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จักกันแล้วทั้งน้ำซาวข้าวและผักต่างๆ ส่วนความรู้เรื่องการทำผักดองต่อมาได้จากคนจีนที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย และถ่ายทอดความรู้ให้กันและกัน จึงทำให้คน
    ไทยและกลุ่มคนวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่เชื้อสายจีน สามารถปรุงผักดองและนำมาปรับใช้กับวัฒนธรรม
    ตัวเองได้อย่างเหมาะสม
  • ผักดองแบบจีน
    เป็นผักดองที่รู้จักและนิยมกินกันมาก มีรสเปรี้ยว เค็ม กลิ่นหอมเฉพาะ ซึ่งพอแบ่งแยกตามที่ขายใน
    ตลาดได้ เช่น ผักดองแห้งของคนจีนแคะและคนกวางตุ้ง หลักการดองโดยทั่วไปคือ ขยำกับเกลือทิ้งไว้ให้เกลือดูดน้ำออกจากผักจนหมด แล้วนำไปตากแดดจนแห้งสนิท นิยมนำมาต้มเป็นแกงจืดกับกระดูก
    หมู หรือหั่นต้มกับหมูสามชั้นน้ำขลุกขลิกรสเค็ม กินกับข้าวต้มหรือข้าวสวยก็ได้ เช่น หั่มช้อยกอน ดอง
    จากผักโขมจีนหรือชุงฉ่าย หมุ่ยชอย ดองจากผักกวางตุ้งไต้หวันต้นสั้น

    ผักดองประเภทอื่น ๆ ที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันอย่างดี คือ ผักดองเค็ม (เกี้ยมไฉ่) ผักดองเปรี้ยว
    (ซึงฉ่าย) เป็นผักดองของคนแต้จิ๋วซึ่งเป็นคนจีนกลุ่มใหญ่มากในกรุงเทพฯ ผักดองเสฉวน มีรสเค็ม เผ็ด
    เนื้อผักเหนียว มีรสชาติเฉพาะ บ้านเราดองเองไม่ได้ ต้องส่งมาจากจีน ผักนี้ใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง
    ส่วนใหญ่ซอยแล้วผัดรวมกับผักอื่นๆ ใช้เป็นเครื่องชูรสอย่างดี
  • กิมจิ
    หากเอ่ยถึงอาหารของชาติใดแล้ว จานที่ขึ้นชื่อส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอาหารจานหลัก แต่มีข้อยกเว้น
    สำหรับอาหารเกาหลี หลายคนมักนึกถึงกิมจิเป็นอย่างแรก น่าจะเป็นเพราะกิมจิมีรสชาติที่โดดเด่นและมีมิติทางสังคมที่ลึกซึ้ง ชาวเกาหลีทำกิมจิกินมานานนับพันปีแล้วเพราะเป็นวิธีเก็บผักไว้กินในฤดูหนาว
    ยุคแรกเป็นเพียงผักดองเกลือ ต่อมาจึงเพิ่มเครื่องปรุงรสขึ้นอีก จนได้ชื่อว่าเป็นนักดองผัก มีผักดองใส่พริกรสเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว ผักที่นิยมดอง เช่น ผักกาดขาว หัวไช้เท้า ว่ากันว่าคนเกาหลีมีกิมจิผักเป็นร้อยชนิด แม้แต่พริกก็นำมาดอง

    กิมจิใช้กินเป็นเครื่องเคียงกับอาหารจานหลัก เช่น ข้าวคลุกผัก (บิบิมบับ) และเนื้อย่างเกาหลี (บุลโกกิ) ผักที่ใช้ทำก็มีหลายชนิด เช่น ผักกาดขาว หัวไช้เท้า แตงกวา พริกแดง นักวิชาการเกาหลีบันทึกไว้ว่า ชาวเกาหลีทำกิมจิหลากหลาย ถึง 180 ชนิด กิมจิที่รู้จักกันมากที่สุดคือ กิมจิผักกาดขาว
  • ทซึเคโมโน
    คนญี่ปุ่นมีผักดองหลายแบบ เช่น อะซาซูเกะ (Asazuke) เป็นผักดองเร็วทันใจ ใส่เกลือ 1 - 2% ของน้ำหนักผัก พร้อมเสิร์ฟ 10 นาทีหลังจากคลุกเกลือ เอนซุยซูเกะ (Ensui Zuke) เป็นผักดองใน
    น้ำเกลือใส่เกลือ 2 - 3% ต่อน้ำหนักน้ำ ดองนาน 3 ชั่วโมงก็รับประทานได้ ทั้งสองชนิดนี้เก็บในตู้เย็นได้ นาน 2 - 3 วัน คนญี่ปุ่นใส่สาหร่ายคอมบุผสมลงไปในผักด้วยเพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าอาหาร และถ้า
    ดองไม่นานควรหั่นผักชิ้นเล็ก แต่ถ้าดองนานหั่นผักชิ้นใหญ่ ส่วนผักดองแบบญี่ปุ่นคือ ทซึเคโมโน
    (Tsukemono) กลายมาเป็นอาหารยอดนิยมอย่างมากในช่วงสมัยเอโดะ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติและสีสันของอาหารแล้ว ผักดองยังเป็นเครื่องเคียงที่ช่วยเสริมหน้าตาและรสชาติของอาหาร ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้นและที่ญี่ปุ่นนั้นอาหารทุกมื้อต้องเสิร์ฟพร้อมผักดอง เพราะรสชาติของความมันและความชุ่มฉ่ำที่มีอยู่ในผักดองนั้นจะช่วยล้างปากเพื่อให้เตรียมรับรสชาติใหม่ของอาหารต่อไป
  • ซาวเออร์เคร้าท์
    ด้านตะวันตกแถบยุโรป เยอรมัน หรือรัสเซียไม่มีผักดองโดดเด่น ส่วนใหญ่นิยมดองผักในน้ำส้มสายชูใส่น้ำตาล หรือดองแบบเปรี้ยวหวานเค็มแบบที่เหมาะสำหรับทานกับฮอทดอกหรือแซนวิช แต่เวลาสั่งขา
    หมูเยอรมันทอด เราจะเห็นว่ามีกะหล่ำปลีดองวางติดมาด้วยกองโตๆ เป็นเครื่องเคียง นั่นคือ
    ซาวเออร์เคร้าท์ (Sauerkraut) ภูมิปัญญานี้ช่วยย่อยเจ้าขาหมูจานนั้นให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก
    ในการย่อยค่ะ ส่วนวิธีทำกะหล่ำดองนี้เขาจะต้องใช้วิธีดองแบบธรรมชาติ นั่นคือใช้เกลือเป็นตัวช่วยให้
    เกิดการหมัก จึงเกิดตัวเอนไซม์นี้ได้ และยังใส่เครื่องเทศให้หอมและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ของดองแต่ละชาติมักมีผักดองและวิธีการหมักดองแตกต่างกันไป อย่างที่ได้ลองนำเสนอเป็นตัวอย่างเพื่อเรียกน้ำย่อยเท่านั้นค่ะ ซึ่งหากมีโอกาสอยากให้ลองชมชิมรสชาติอื่นๆ เพื่อจะได้รู้จักกับของดองมากขึ้นค่ะ

ของหมักดองเสี่ยงต่อสุขภาพเพศหญิง

     ผลไม้ดองดูเหมือนจะเป็นของคู่กันกับผู้หญิงเรา แต่บางครั้งของหมักดองก็สร้าง
ปัญหาให้กับสุขภาพเพศหญิงได้เช่นกัน

จริงอยู่ที่ของหมักดองจี๊ดจ๊าดนั้นช่างเหมาะสมคู่กั๊นคู่กันกับผู้หญิงเรา ทั้งผลไม้ดองเปรี้ยวจี๊ด ฝรั่งแช่บ๊วย
เปรี้ยวๆ หวานๆ มะขามคลุกรสเจ็บ หรือมะม่วงแช่อิ่มแสนอร่อย ฯลฯ ล้วนเป็นของถูกปากหลังมื้ออาหารหรือ
ยามว่าง ยามบ่าย แต่บรรดาผลไม้ดองหรือของหมักดองก็อาจมีโทษต่อสุขภาพเหมือนกันค่ะ

เริ่มต้นที่ “ความเปรี้ยว” ของบรรดาของหมักหรือผลไม้ดอง แค่คิดถึงของเปรี้ยวๆ ก็กระตุ้นปุ่มรับรสให้ทำงานเลยใช่ไหมค่ะ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากความเปรี้ยวมีคุณสมบัติสำคัญในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำ
ย่อย แต่ต้องระวังค่ะ หากทานมากไปหรือทานขณะท้องว่างก็อาจจะเกิดอาการแสบท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้

ประเด็นสำคัญคือ การรับประทานของดอง ผลไม้ดอง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้หญิงเราอย่างมาก โดย
เฉพาะในช่วงที่สุขภาพร่างกายอ่อนไหว แถมอากาศร้อนๆ ชื้นๆ อับๆ แบบนี้ยิ่งต้องระวังค่ะ

อันตรายจากการกินของดองสำหรับผู้หญิงเราที่ควรระวัง ได้แก่ การปวดท้องน้อย จะปวดในช่วงที่เราใกล้จะมีประจำเดือน หรือช่วงมีประจำเดือน 1 - 2 วันแรก ซึ่งหากเผลอรับประทานผลไม้ดองจะปวดท้องมากผิดปกติ ในที่นี้หมายความว่าถึงกินยาแก้ปวดก็ไม่หายหรือทุเลาแค่นิดหน่อย นอกจากนี้อาจมีตกขาวมากกว่าปกติ หรือตกขาวขุ่นเหลือง-เขียว และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ รู้สึกคันยิบๆ ตลอดที่จุดซ่อนเร้น เวลาที่มีตกขาวออกมาเยอะ 
ดังนั้นหากเป็นไปได้ อาจจะงดของเปรี้ยวของดองในช่วงที่สุขภาพร่างกายอ่อนไหวก่อนก็ดีนะคะ จะได้ไม่ต้องทรมานกับการปวดท้องน้อย เพราะอาการดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดโรคที่เราไม่รู้ก็ได้ และถ้าหากใครมี
อาการเริ่มต้นดังที่กล่าวไว้ แนะนำว่าควรไปตรวจเพิ่มเติมที่แผนกสูติฯ ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทันที ไม่ว่าจะเป็นการตรวจภายใน อัลตราซาวด์ ตรวจมะเร็งปากมดลูก ตกขาว ช็อกโกแลตซีสต์ ถ้าอายุน้อยๆ ควรตรวจตั้งแต่แรกจะดีมาก เป็นการป้องกันไว้ก่อนค่ะ

ต่อกันที่ “ความหวาน” เป็นของแถม เราจะสังเกตว่า ผลไม้ในรถเข็นส่วนใหญ่จะอมหวานนิดๆ นั่นเพราะสารแซคคารีนหรือที่เรียกว่าขัณฑสกรค่ะ ขัณฑสกรเป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300 - 400 เท่า แต่มีราคาถูกกว่าน้ำตาล จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้านิยมนำมาใส่ในผลไม้ เพื่อเพิ่มความหวาน โดยที่ไม่รู้ว่าสารชนิดนี้นอกจากจะไม่มีประโยชน์ แล้วยังเป็นอันตรายอีกด้วย เพราะถ้าร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปในปริมาณที่มากเกิน
ความจำเป็นจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ สถาบันอาหารในประเทศไทยเคยสุ่ม
ตัวอย่างผลไม้จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์ตรวจหาสารขัณฑสกร ผลปรากฏว่า เกือบทุกตัวอย่างพบสารชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ 4 ใน 5 ตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์นั้นปนเปื้อนในปริมาณที่สูงมาก

การรับประทานของอร่อยถูกปากเป็นเรื่องน่ายินดีค่ะ แต่ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ตามใจปากมากเกินไปจนเป็นโทษแก่ตัวเองนะคะ

รู้ไว้ใช่ว่า : ว่าที่คุณแม่กับของเปรี้ยวของดองของคู่กัน
หลายคนคงเชื่อว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องอยากทานของเปรี้ยวหรือบรรดาของหมักดอง อาการอยากอาหารไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์คุณแม่จะมีระดับ
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ซึ่งไปกระตุ้นความอยากอาหารและต่อมรับรส ทำให้อยาก
อาหารต่างๆ แต่ที่คุณแม่ตั้งครรภ์อยากกินเป็นพิเศษเหมือนๆ กันคือ ของเปรี้ยว ไม่ว่าจะเป็น
มะม่วงเปรี้ยว มะดัน มะขาม หรือพวกของหมักดอกต่างๆ จนกลายเป็นกฎเหล็กไปแล้วว่า เมื่อไหร่ที่ตั้งครรภ์แพ้ท้องจะต้องทานของเปรี้ยว

จริงๆ ไม่ใช่คุณแม่ทุกคนจะอยากทานของเปรี้ยว แต่ของเปรี้ยวจะช่วยลดหรือแก้อาการแพ้
ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน รวมไปถึงความกระหายน้ำได้ ลองสังเกตว่าถ้าเรารู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เรามักจะอยากทานของเปรี้ยว และเมื่อทานแล้วอาการเหล่านั้นก็จะค่อยๆ หายไป ดังนั้นการทานของเปรี้ยวลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนก็ใช้ได้ผลกับคุณแม่ตั้งครรภ์เช่นกันค่ะ

ผู้ร้ายชื่อเกลือและความเค็มทั้งหลาย


     "เค็ม" คือคำนิยามสั้นๆ ง่ายๆ สำหรับเกลือ หลายคนชอบมากเพราะทำให้ชีวิตของ
เขาไม่จืดชืด แต่บางคนบอกว่าน่ากลัว เพราะเป็นตัวการก่อโรคร้ายนานาชนิด เกลือมีอะไรดี มารู้จักไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

เกลือเป็นเครื่องปรุงรส มีรูปร่างเป็นเกล็ดขาวๆ เม็ดเล็กๆ รสเค็มๆ คนส่วนใหญ่วางเกลืออยู่บนหิ้งเครื่องปรุงในครัว ภายในตัวเกลือมีธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ โซเดียมและ คลอรีน ซึ่งเมื่อรวมตัวกันทางเคมีจะกลายเป็นสารประกอบชื่อ โซเดียมคลอไรด์ และทำให้เกิดรสเค็มนั่นเอง
ในแง่การทำอาหารแล้ว เกลืออย่างเกลือทำหน้าที่ประสานหรือทำให้อาหารมีรสกลมกล่อมขึ้น เพราะหากคุณ
ใส่เกลือปริมาณเล็กน้อยจะช่วยเสริมให้อาหารมีรสหวานขึ้นได้ นอกจากนี้เกลือยังช่วยในการถนอมอาหารมา
ตั้งแต่สมัยโบราณโดยไม่ต้องอาศัยตู้แช่หรือตู้เย็น เช่น การหมักเกลือการตากแห้งด้วยเกลือ เป็นต้น ทำความรู้จักกับเกลือกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ทีนี้จะเล่าถึงข้อดีของเกลือให้คุณๆ ฟังกันต่อค่ะ ปฏิบัติ
การของเกลือในร่างกาย
ในร่างกายนั้นเกลือนับว่ามีความสำคัญต่อชีวิตมากพอๆ กับน้ำและอากาศเลยทีเดียว เพราะเกลือมีโซเดียมที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมีหน้าที่สำคัญในการรักษาปริมาณของเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ นอก
จากนี้ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ได้เล่าถึงหน้าที่ของเจ้าโซเดียมเพิ่มเติมในหนังสือ "ตอบคำถามสุขภาพ
เล่ม 1" ดังนี้
  • รักษาความสมดุลของการกดดันหรือดูดซึมของของเหลวระหว่างเซลล์ (Osmotic Pressure)
  • มีหน้าที่ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ เกี่ยวกับกล้ามเนื้อนี้โซเดียมจะต้องทำงานร่วมกับคลอไรด์ แคลเซียมโพแทสเซียม และแมกนีเซียม
  • รักษาความสมดุลระหว่างความเป็นกรด - ด่าง
  • ควบคุมการขับถ่ายของเหลว
ถ้าจะพูดภาษาชาวบ้านก็คือ โซเดียมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจความดันโลหิต การทำงาน
ของกล้ามเนื้อและการทำงานของไต ในขณะเดียวกันโซเดียมต้องทำงานร่วมกับคลอไรด์ โพแทสเซียม
แคลเซียมและแมกนีเซียม การที่โซเดียมต่ำหรือสูงจะมีผลกระทบกระเทือนต่อแร่ธาตุตัวอื่นๆในร่างกาย แต่ไม่
ต้องกังวลไปค่ะ ร่างกายแสนมหัศจรรย์ของมนุษย์ก็มีวิธีปรับสมดุลเกลืออยู่เหมือนกัน ตามไปดูกันไหมคะ
โชคดีที่มีระบบปรับสมดุลเกลือ
แพทย์หญิงโชติมา พิเศษกุลอายุรแพทย์ด้านโรคไต ขยายความเรื่องนี้ให้ฟังต่อว่า "ปกติร่างกายเราไม่
ค่อยขาดเกลือแม้ว่าจะกินเกลือเพียงเล็กน้อย เพราะร่างกายมีระบบที่สามารถเก็บเกลือไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังปรับตัวต่อปริมาณเกลือที่ลดลงได้ อีกทั้งเกลือยังมีอยู่ในอาหารธรรมชาติแทบทุกชนิดทั้งเนื้อสัตว์ ข้าว
ผัก และผลไม้ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป "นอกจากนี้ในคนปกติก็หมดห่วงเรื่องได้รับเกลือมากเกินไป เพราะเกลือที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระและเหงื่อ โดยมีไตเป็นอวัยวะหลักที่ควบคุมให้มีการกำจัดเกลืออย่างเหมาะสม"
อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าบริโภคเกลือน้อย ร่างกายจะขับออกน้อย และถ้าบริโภคเกลือมาก ร่างกายจะขับออกมาก อย่างไรก็ตาม คุณควรยึดหลักสายกลางหรือความพอดี ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ร่างกายของคุณตามมาได้ดังนี้ค่ะ ขาดเกลือไป ทำลายสุขภาพ
อย่างที่คุณหมอโชติมาเล่าว่า โอกาสการขาดเกลือของคนเรานั้นน้อยมากยกเว้นในบางกรณีที่มีการสูญเสีย
โซเดียมมากกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า ภาวะโซเดียมต่ำ ซึ่งเกิดได้จาก
  • การมีเหงื่อออกมากเกินไป เพราะใช้กำลังหักโหมออกกำลังกายอย่างหนักหรือต้องอยู่ในบริเวณที่ร้อน
    อบอ้าวเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียเกลือแร่ออกมาทางเหงื่อ
  • ท้องเสียหรืออาเจียนอย่างรุนแรงหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่ จึงจำเป็นต้องได้รับเกลือแร่เข้าไปทดแทน
  • สูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ จากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียเกลือแร่จำนวนมากไปกับเลือดนั่นเอง
  • การใช้ยาขับปัสสาวะเป็นเวลานานๆ โดยปกติยาชนิดนี้จะใช้เพื่อขับน้ำส่วนเกินและเกลือแร่ออกจาก
    ร่างกายซึ่งเป็นประโยชน์ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจบางชนิด ตลอดจนผู้ที่มีอาการบวมน้ำ
    เป็นต้น แต่สำหรับบางคนที่ซื้อยาขับปัสสาวะมารับประทานเองโดยมิได้ปรึกษาแพทย์ หรือกินยาชนิดนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้โซเดียมในร่างกายลดน้อยลงเช่นกัน
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดอาการ ขาดโซเดียมได้ ซึ่งอาจแสดงอาการดังนี้คือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ การ
ทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ เป็นตะคริว ปวดหัวปัสสาวะน้อย อาจเกิด ภาวะความดันเลือดต่ำ ปริมาณเลือดน้อย ระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจล้มเหลวมีอาการชักหรือกระตุกตามร่างกาย และ หมดสติ ได้ในที่สุด นอกจากนี้ความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายน้ำได้ตามปกติจะส่งผลทำให้เกิดภาวะโซเดียมต่ำ เช่นโรคหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง โรคไตวายและโรคตับ เป็นต้น ตรงกันข้าม หากคุณๆ ที่ได้รับเกลือเข้าสู่ร่างกายมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการเป็นเวลานาน เกลือที่พูดถึงก็จะกลายเป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อสุขภาพของ
คุณได้ค่ะ
เกลือมากเกิน ก่อโรคร้าย
แม้รสเค็มของเกลือจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร แต่ถ้าคุณกินมากเกินไปก็ให้โทษเช่นกัน ที่เห็นชัดก็คือ กระหายน้ำ นอกจากนั้นยังมีโรคอันตรายอีกมากมาย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าแต่ละอาการและโรคมีอะไรบ้าง
  • ความดันโลหิตสูง สำหรับผู้สูงอายุที่ชื่นชอบอาหารเค็มจัด ที่ขาดไม่ได้คือ น้ำปลาขวดเล็กๆ พร้อมน้ำปลาพริกที่ตั้งประจำบนโต๊ะอาหารที่บ้าน การขอเหยาะน้ำปลาลงบนอาหารและแตะน้ำปลาพริกอีกครั้ง
    ก่อนตักข้าวเข้าปากทำเช่นนี้มานับสิบๆ ปี ประกอบกับไม่ได้สนใจดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เท่าไร อาจตรวจพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไต เนื่องจากไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยปรับระดับโซเดียมในร่างกาย โดยปกติเมื่อร่างกายได้รับ
    ปริมาณโซเดียมสูงเกินไป ไตจะทำหน้าที่ขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกมา แต่เมื่อใดก็ตามที่ไต
    ทำงานผิดปกติ ไตก็จะไม่สามารถขับโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมได้
  • โรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวคือ ความดันโลหิตสูง ถึงแม้จะกินยาควบคุมความดันโลหิตเป็น
    ประจำแล้วก็ตาม แต่หากยังคงชอบกินอาหารรสเค็มจัดเป็นประจำ อาจส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจตีบ
    เนื่องจากกินโซเดียมมากจนทำให้คุมความดันยาก ผลคือ ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดหนักขึ้น และยังอาจทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายซึ่งคอยควบคุมการไหลเข้า - ออกของเลือดหนาขึ้น ส่งผลให้เกิด
    โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตีบได้ รวมไปถึงโรคเส้นเลือดในหัวใจหรือสมองตีบตัน หัวใจวาย
    อัมพฤกษ์ และอัมพาตได้
  • ภาวะบวม ถ้าร่างกายได้รับเกลือหรือโซเดียมมาก แต่ขับโซเดียมออกมาได้ไม่ดี เช่น กรณีผู้ป่วยโรคไต โรคตับหรือโรคหัวใจ ในร่างกายก็จะมีน้ำคั่งมากเพราะเกลือที่คั่งอยู่จะดูดน้ำเข้ามาไว้ในอวัยวะต่างๆ ทำให้ปริมาณน้ำของเนื้อเยื่อภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมขึ้นได้
  • กระดูกพรุน การรับประทานเกลือมากเกินไปเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมใน
    กระดูกเนื่องจากขณะที่ร่างกายพยายามขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ยังส่งผลให้มีการขับถ่าย
    แร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งแคลเซียมออกไปด้วย
  • โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ อย่างที่เล่าว่า คนที่กินอาหารรสเค็มจัดเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสีย
    แคลเซียมในปัสสาวะมากนั้น แคลเซียมดังกล่าวยังอาจสะสมทำให้เกิดเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีก
    เพราะ แคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเกิดโรคนิ่ว
สำหรับคนสูงอายุทุกคนถึงแม้ยังไม่ได้มีโรคประจำตัวใดๆ ก็จำเป็นต้องควบคุมอาหารไม่ให้มีรสจัด โดยค่อยๆ
ลดเค็มลง ส่วนคนที่เริ่มเป็นโรคต่างๆ ข้างต้นแล้ว ยิ่งควรต้องระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคที่เป็นอยู่ หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษายากได้ ทีนี้หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วควรจะกินเกลือมากหรือน้อยเพียงใดถึงจะดีต่อสุขภาพนั้น เรื่องนี้เกลือมีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากค่ะ
ความเค็มในชีวิตประจำวัน
แหล่งโซเดียมไม่ได้มาจากเกลือบนโต๊ะแบบต่างประเทศเท่านั้น เรายังมีเครื่องปรุงรสเค็มอื่นๆ ที่มีเกลือ
เป็นส่วนประกอบอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรมซอสมะเขือเทศ หรือซอสพริก ตลอดจนเครื่องปรุงรสเค็มตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น กะปิ ปลาร้า น้ำบูดู หรือน้ำปู๋ แถมบางบ้านยังต้องมีน้ำปลาพริกวางไว้เคียงคู่โต๊ะอาหารอีกด้วย นอกจากนี้อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็มีเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบ แม้อาหารบางอย่างที่ไม่ได้ออกรสเค็มก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบเช่นกัน
อาทิ ผงฟู (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูทาเมต) ตลอดจนสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) เป็นต้น
แล้วอย่างนี้ "เค็ม" เท่าไรถึงพอดี?
จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและข้อกำหนดสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยในฉลากโภชนาการ กำหนดไว้ว่า เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกินกว่า 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นเกลือวันละ 6 กรัม และเทียบเท่ากับเกลือ1 ช้อนชา อย่างไรก็ตาม ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายต้องการจริงๆ นั้นน้อยมาก เพียง 500 - 1,475 มิลลิกรัมต่อวัน ปกติอาหารประจำวันจะได้รับโซเดียมคลอไรด์พอเพียงซึ่งเกลือ 1 ช้อนชาจะให้โซเดียมถึง 2,400 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่ร่างกายของเราต้องการหลายเท่า ทางที่ดี
สำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วยหรือเป็นโรคแล้วก็ตามคือ ต้องหัดกินอาหารรสจืดให้ได้เป็นปกติ และกินอาหารรสจัดให้น้อยลง เค็มน้อยลงไปบ้าง เกลือเม็ดเล็กๆอย่างเกลือไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ทั้งนี้เพื่อ สุขภาพที่ดีของคุณๆ ทุกคนค่ะ
มารู้จักประเภทของเกลือกันเถอะ
การตามหาเกลือไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคุณสามารถพบได้ทั่วไปในโลกใบนี้ค่ะ แต่จะพบมากที่สุดในน้ำทะเล รองลงมาพบใต้ผิวดิน ซึ่งสามารถเรียกชื่อตามแหล่งที่มา 2 ประเภท ได้แก่
1. เกลือสมุทร คือ เกลือที่ได้จากน้ำทะเล โดยการสูบน้ำทะเลเข้ามาขังไว้ในที่นา ผึ่งแดดและลมจนน้ำระเหยไปเหลือเป็นผลึกเกลือสีขาว
2. เกลือสินเธาว์ หรือ เกลือหิน คือ เกลือที่ได้จากดินเค็มทำ โดยการปล่อยน้ำลงไปละลายหินเกลือที่อยู่ใต้ดิน แล้วจึงสูบน้ำกลับขึ้นมาตากหรือต้มให้น้ำระเหยไป 

นอกจากนี้ผลผลิตที่ได้ยังแยกเกลือออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะรูปร่างได้อีก ได้แก่
1. เกลือเม็ด ผลิตโดยชาวนาเกลือทะเลและผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีตาก ซึ่งนิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่นการทำไอศกรีม หรือการดองผักผลไม้บางชนิด 
2. เกลือป่น ผลิตโดยโรงงานเกลือป่นที่ซื้อเกลือเม็ดจากชาวนาเกลือมาแปรรูปเป็นเกลือป่น และผู้ผลิตเกลือสินเธาว์ด้วยวิธีการต้ม ซึ่งได้เกลือป่นโดยไม่ต้องผ่านขบวนการแปรรูป นิยมทำเป็นเกลือบริโภคตามบ้านหรือเกลือบนโต๊ะอาหาร (TableSalt)

ติดเค็ม ระวังหัวใจเต้นผิดจังหวะ


     การรับประทานอาหารรสเค็มเป็นเวลานานๆ จนเป็นนิสัย อาจกลายเป็น “ภัยเงียบ” ที่ซ่อนเร้นในวิถีการบริโภคของเราโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มาทำความรู้จักกับโรคนี้และค้นพบแนวทางรักษาสุขภาพได้ในบทความนี้

วิถีการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสู่วิถีชีวิตอันเร่งรีบของผู้คนในสังคมปัจจุบัน ส่งผลให้พฤติกรรม
การบริโภคอาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารฟาสต์ฟู้ด เข้ามาแทนที่การทำอาหารรับประทานเองภายในบ้าน ทำให้มีโอกาสเพิ่มปริมาณการบริโภคเกลือและสารให้ความเค็มเพิ่มมากขึ้น ผลการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสุขบ่งชี้คนไทยบริโภคเกลือมากกว่าสามเท่าของมาตรฐานปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ทำให้มีแนว
โน้มเสี่ยงต่อโรคต่างๆ สูงมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการ “ติดเค็ม” เหมือนกัน
หัวใจ ทำไมต้องผิดจังหวะ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ สาขาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล คุณหมอไขข้อข้องใจเรื่องโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยการอธิบายกลไก
การทำงานของหัวใจและสาเหตุของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดังนี้ “หัวใจเป็นอวัยวะชิ้นเดียวในร่างกายคนเราที่ทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีหยุด ดังนั้น ภายในหัวใจของคนเราจึงมีจุดกำเนิดไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้าตาม
ธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นพลังงานในการควบคุมหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเกิดการบีบรัดกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อสูบฉีดออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย

“โดยปกติแล้วหัวใจจะเต้นประมาณ 60 - 80 ครั้งต่อนาที แต่หากอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ เช่น ตื่นเต้น
ตกใจ เครียด หรือออกกำลังกาย ก็อาจเต้นเร็วขึ้น แต่ในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นจะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุกระตุ้นที่แน่ชัด โดยเกิดจากจุดกำเนิดไฟฟ้าภายในหัวใจทำงานผิด
ปกติ หรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรภายในหัวใจ ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย” คุณหมอกล่าวเพิ่ม
เติมว่า โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะที่มีอัตราการเต้นของหัวใจช้าผิดปกติ คือ มีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที และหัวใจเต้นผิดจังหวะที่มีอัตราการ
เต้นของหัวใจเร็วผิดปกติ คือ มีอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที
สาเหตุที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ
สาเหตุที่ทำให้หัวใจของคนเราเต้นผิดจังหวะ คุณหมอสรุปว่ามีด้วยกันอยู่ 4 สาเหตุหลัก ดังนี้
  • กรรมพันธุ์
    ความผิดปกติของวงจรไฟฟ้าหัวใจตั้งแต่กำเนิดสามารถเป็นตัวการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งประเภทที่มีอัตราการเต้นช้าเกินไปและเร็วเกินไป โดยอาจมีอาการป่วยตั้งแต่เด็กหรือมีอาการในวัย
    ทำงานก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและปัจจัยกระตุ้น เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เป็นต้น”
  • การเสื่อมสภาพของระบบไฟฟ้าหัวใจ
    สาเหตุนี้มักเกิดในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ เนื่องจากหัวใจทำงานมาเป็นเวลานาน จึงเกิดความเสื่อมตามอายุการใช้งาน ระดับพลังงานที่กระตุ้นให้หัวใจทำงานจึงน้อยลง ส่งผลให้หัวใจเต้นช้าผิดปกติ
  • โรคบางชนิด
    โรคหัวใจบางชนิดรวมไปถึงโรคที่ส่งผลต่อระบบหัวใจ เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง
    ไขมันในเส้นเลือดสูงเบาหวาน และผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคเหล่านี้จะส่งผลให้หัวใจหรือวงจรไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติ โดยเข้าไปขัดขวางการเดินทางของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ
  • ยาและสารเสพติดบางชนิด
    การกินยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ดังที่คุณหมออธิบายว่า “ยาบางชนิดโดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงซึ่งออกฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ก็อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือยารักษาโรคหวัด ยาขยายหลอดลมและยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ ก็อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะได้
เกี่ยวอะไรกับความเค็ม?
แม้จะไม่เกี่ยวโดยตรง แต่เนื่องจากเกลือเป็นตัวที่ดึงน้ำเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อเลือดและน้ำ
เพิ่มเข้าไปในระบบ ความดันก็เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้ระบบการเผาผลาญลดลง เมื่อได้รับเกลือในปริมาณที่เกินพอดีเป็นเวลานานๆ ทำให้ส่งผลในตอนที่สูงอายุแล้ว เพราะระบบในร่างกายทำการต่อสู้มาโดยตลอด เหมือนกับเครื่องจักรเครื่องยนต์ พอทำงานหนักเป็นเวลานานๆ ก็เสื่อมสภาพตามปกติ

นอกจากนี้ การกินเค็มต่อเนื่องมานานๆ มีผลทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้น
อีกด้วย ซึ่งกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยอาจส่งผลให้หัวใจหรือวงจรไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติ และยังส่งผลทำให้อัตราการกรองของเสียผ่านไตเพื่อขับถ่ายออกทางปัสสาวะมากขึ้น หรือกล่าวง่ายๆ คือทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น ส่งผลให้ไตเสื่อมสภาพอันจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตได้อีกด้วย

ติดเค็มแล้วมีแต่ข้อเสียอย่างนี้ ลดเค็มลงทีละนิดละหน่อย
ตรวจเช็กหัวใจ ก่อนเคลื่อนไหวผิดจังหวะ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรพันธ์ สิทธิสุข สาขาวิชาโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะว่า มี 2 ประเภทคือ อาการของโรคหัวใจเต้นช้าผิดปกติและเร็วผิดปกติ
  • อาการของโรคหัวใจเต้นช้าผิดปกติ จะมีอาการมึนงง ใจหวิว วูบ ความดันโลหิตต่ำ หากเป็นหนักอาจ
    เป็นลมหมดสติ ในรายที่อาการไม่มากอาจมีเพียงอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
  • อาการของโรคหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากมีอาการน้อยอาจรู้สึกเหนื่อยง่ายและหัวใจเต้นรัวเท่านั้น แต่
    หากมีอาการหนักจะรู้สึกเจ็บหน้าอก หน้ามืด ความดันโลหิตต่ำ หัวใจวาย และอาจเสียชีวิตโดยเฉียบ
    พลัน
แม้อาการของโรคนี้จะดูรุนแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อโรคลุกลามไปมาก
แล้ว เนื่องจากอาการของโรคไม่สามารถบ่งได้แน่ชัดว่าป่วยเป็นอะไร จึงทำให้ได้รับการวินิจฉัยผิดในตอนต้น ดังเช่นคุณสุชาดาที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเครียด ก่อนจะพบสาเหตุที่แท้จริงในอีกสองปีต่อมา
How to Check 
- มีอาการหน้ามืด เป็นลม โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่เลือกเวลา และมักหายเองได้ 
- ระยะเวลาที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมนั้นไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เช่น ถ้าเป็นระยะเริ่มแรกอาจหายเองได้ภายในไม่กี่นาที และในบางรายอาจมีสัญญาณของโรคชัดเจน เช่น
กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกด้านขวากระตุกเมื่อมีอาการ

How to Heal
เมื่อมีอาการ ผู้ป่วยควรรีบไปหาแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์ตรวจร่างกายและตรวจหาคลื่น
ไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติ แต่หากไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ หรือเมื่อไปถึงแล้วอาการดังกล่าวหายไป ผู้ป่วยสามารถขอให้แพทย์ติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจได้
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะมีการรักษาที่ต่างกันตามความรุนแรงของโรค คือ หากผู้ป่วยยังอยู่ในวัยทำงาน มี
สุขภาพแข็งแรง หรือมีอาการหัวใจเต้นรัวเพียงเดือนละไม่กี่ครั้ง ก็จะให้ดูแลสุขภาพและเฝ้าสังเกตอาการว่า
หากปฏิบัติตนตามที่หมอสั่งแล้วอาการดีขึ้นหรือไม่ หากดีขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีอื่น แต่หากผู้ป่วยมี
อาการหนักหรืออายุมากก็จะรักษาด้วยสามวิธีต่อไปนี้ คือ กินยา จี้กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณที่ลัดวงจรด้วยคลื่น
เสียงความถี่สูง และฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจในผู้ป่วยที่
หัวใจเต้นช้าผิดปกติ หรือเครื่องกระตุกหัวใจในผู้ป่วยที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
นอกจากรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว การดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติก็ช่วยบรรเทาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
และป้องกันการเกิดโรคได้ ซึ่งวิธีที่คุณหมอแนะนำมีดังนี้
  • ผ่อนคลายความเครียด คุณหมอรุ่งโรจน์กล่าวว่า“ความเครียดถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว
    เนื่องจากเมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆ ที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ”
  • ลดยาบางชนิด ผู้ที่มีโรคประจำตัวและต้องกินยาต่อเนื่องอาจมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งเป็นผล
    ข้างเคียงของยา ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ว่าสามารถลดยาหรือเปลี่ยนชนิดยาได้หรือไม่ เพื่อป้องกัน
    อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ งดเครื่องดื่มกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เนื่องจากสารกระตุ้นที่อยู่ในเครื่องดื่มจะกระตุ้นให้จุดกำเนิดไฟฟ้า หรือกล้ามเนื้อหัวใจที่มีแนวโน้มว่าจะเกิด
    การลัดวงจรทำงานผิดปกติได้เร็วขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับทำให้หัวใจได้พักผ่อนและทำงานน้อยลง ซึ่งเท่ากับเป็นการรักษาหัวใจให้แข็งแรงและสูบฉีดเลือดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แม้เมื่อแรกรู้ว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย มิหนำซ้ำอาการของโรคยังยากต่อการวินิจฉัย ฉันก็ถึง
กับหวาดกลัว ด้วยเพราะมีความเสี่ยงทั้งปัจจัยกรรมพันธุ์และความเครียด แต่เมื่อคุณหมอแนะนำวิธีป้องกันโรคนี้ด้วยวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้เอง เพียงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เอื้อต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น หัวใจของคุณก็จะไม่เต้นผิดจังหวะให้เจ้าของต้องเจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อแน่นอน
ดูแลหัวใจสไตล์ชีวจิต
อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตแนะนำการดูแลร่างกายสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจว่า “ผู้ป่วยโรคหัวใจควรคุมอาหารโดยลดของเค็มเด็ดขาด กินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด
ลดแป้ง ลดเนื้อและออกกำลังกายสม่ำเสมอก็จะช่วยให้ห่างไกลโรคร้ายต่างๆ ได้

เกลือ คุณค่าที่มากกว่าความเค็ม


นอกจากความเค็มที่ช่วยเสริมแต่งรสชาติอาหาร เกลือก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
มารู้จักกับคุณค่าของเกลือที่มีมากกว่าความเค็มกันคะ

เกลือ คุณค่าที่มากกว่าความเค็ม
แน่นอนว่าวลีคลาสลิคอย่าง “พึงรักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม” จะสะท้อนคุณสมบัติเด่นของเกลือได้ดี แต่จริงๆ แล้วเกลือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกชีวิตบนโลกใบนี้และมีคุณค่ามากกว่าความเค็ม ลองมาทำ
ความรู้จักกับเกลือในมิติใหม่ไปพร้อมๆ กันค่ะ
  • สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีต้นกำเนิดมาจากทะเล แม้จะมีวิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบกนับร้อยล้านปี เกลือก็
    ยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะเห็นว่าแม้จนปัจจุบันทารกในครรภ์ยังต้องลอยอยู่ในน้ำคร่ำซึ่งมีเกลือเข้มข้นเท่ากับน้ำทะเลมนุษย์มีเกลืออยู่ในร่างกายประมาณ 250 กรัม
  • เกลือที่เรากินทุกวันและจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประกอบด้วยธาตุสองตัว คือ โซเดียม ซึ่งลุกเป็นไฟได้เอง และระเบิดได้ กับคลอรีน ซึ่งเป็นพิษร้ายแรง ถ้ากินธาตุทั้งสองแยกกัน แต่ละชนิดสามารถฆ่าคุณได้
  • รสเค็มของเกลือมาจากธาตุคลอรีน ซึ่งจะถูกร่างกายนำไปใช้ผลิตกรดเกลือในกระเพาะอาหาร
  • โลกเราไม่มีวันขาดเกลือ เพราะโลกมีเกลือพอที่จะถมผืนแผ่นดินของทวีปต่างๆ ได้หนาถึง 500 ฟุต
  • เกลือเป็นสินแร่ชนิดเดียวที่เราสามารถสกัดจากดินด้วยการสูบน้ำลงไปละลาย แล้วดูดน้ำเกลือขึ้นมาตากให้แห้ง ได้เกลือผงกลับคืนมา ชาวจีนโบราณเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้วิธีดูดน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมาใช้ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ยังไม่ถือกำเนิด และยังรู้จักทำท่อประปาด้วยไม้ไผ่ส่งน้ำเกลือไปยังนาเกลืออย่างเป็นระบบ
  • ในศตวรรษที่ 16 และก่อนหน้า อาชญากรในคดีอุกฉกรรจ์ ถ้าไม่ประหารก็จะต้องรับโทษเป็นผู้ใช้
    แรงงานในเหมืองเกลือตลอดชีวิต
  • เกลือมีคุณสมบัติดูดน้ำเข้าตัว เมื่อทิ้งเกลือไว้ในภาชนะเปิด มันจะดูดน้ำในอากาศจนเยิ้มละลาย ด้วย
    คุณสมบัติข้อนี้ทำให้มันสามารถถนอมอาหารไม่ให้บูดเน่า เพราะมันจะดูดน้ำออกจากเชื้อจุลินทรีย์จนไม่สามารถเจริญเติบโตได้
จากสารพันเรื่องราวคร่าวๆ จะเห็นว่าเกลือมีบทบาทสำคัญต่อการดำรงอยู่ของชีวิตขนาดไหน และอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เกลือยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ อันเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานในชื่อว่า “เกลือบำบัด” (Salt Therapy หรือSpeleotherapy) อีกด้วย
ในยุคกลางอันเป็นยุคที่ผลึกเกลือมีค่าดั่งทอง มีเหมืองเกลือเกิดขึ้นมากมายทั่วภูมิภาคยุโรป ผลึกขาวราคา
แพงกลายมามีบทบาทสำคัญหลายประการ ดังจะเห็นได้จากร่องรอยหลงเหลือในภาษาอังกฤษอย่างคำที่เรา
คุ้นเคยกัน เช่น salary (เงินเดือน) sauce (น้ำซอส) sau-sage (ไส้กรอก) salad (สลัด) ซึ่งล้วนมีราก
ศัพท์มาจากคำว่า sal หรือเกลือ ในภาษาละติน หรือแม้แต่หลายเมืองในยุโรปก็ปรากฏคำว่าเกลือในชื่อเมือง ย้ำเตือนให้เห็นว่าเกลือนั้นสำคัญมากเพียงไรในอดีต ส่วนบทบาทของเกลือกับการแพทย์นั้นมีหลักฐานว่า
ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) ปรัชญาเมธีผู้โด่งดังรู้จักการสูดดมไอเกลือเพื่อรักษาโรคทางเดินหายใจมา
ตั้งแต่สมัยกรีกแล้ว ส่วนในเอเชียมีตำราเภสัชวิทยาโบราณอายุกว่า 4,700 ปีของจีน “เปิ่นเฉ่ากังมู่” (Peng Tzao KanMu) ระบุไว้ว่า ยุคนั้นมีการใช้เกลือแพร่หลายมากกว่า 40 ชนิด ทั้งเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์และเป็นเงินตราแลกเปลี่ยน ในปี ค.ศ. 1843 Felix Boczkowski นายแพทย์ชาวโปแลนด์สังเกตพบว่า
อุบัติการณ์โรคระบบทางเดินหายใจเกิดขึ้นกับคนงานเหมืองเกลือน้อยมาก จึงริเริ่มนำผู้ป่วยทั้งโรคทางเดิน
หายใจและภูมิแพ้ลงไปสูดดมไอเกลือในเหมืองหรือถ้ำเกลือใต้ดิน จนพบว่าช่วยบำบัดโรคอย่างได้ผล ความ
สำเร็จนี้จึงถูกบันทึกลงในตำรา กระตุ้นให้ถ้ำเกลือบำบัดกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง จนเมื่อช่วงสงครามโลก
ครั้งที่ 2 นายแพทย์ชาวเยอรมัน Karl Hermann Spannagel ได้พบว่า ผู้ป่วยทางเดินหายใจซึ่งลี้ภัยอยู่ในถ้ำเกลือมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งย้ำเตือนประโยชน์ของถ้ำเกลือต่อสุขภาพอย่างชัดเจน
ประโยชน์ของเกลือบำบัด
จากสถิติทางการแพทย์พบว่า เกลือบำบัดช่วยรักษาโรคระบบทางเดินหายใจได้หลายชนิด อาทิโรคหอบ
หืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอจามจากภูมิแพ้ ถุงลมโป่งพอง หายใจผิดปกติและแน่นหน้าอก ไอจากการสูบ
บุหรี่และรับควันบุหรี่ คัดจมูก ไซนัสอักเสบ อาการแพ้ฝุ่นและละอองเกสร

โดยก่อนเข้ารับการบำบัดจะต้องมีการวัดความดันและอุณหภูมิร่างกาย ดื่มน้ำสะอาดหนึ่งแก้วเพื่อป้องกัน
การสูญเสียน้ำ สวมชุดคลุมให้มิดชิดแล้วเข้าไปในถ้ำเกลือเพื่อสูดไอเกลือนาน 45 นาทีควรบำบัดต่อเนื่อง 5 - 10 ครั้ง จะเริ่มรู้สึกดีขึ้นได้ภายใน 7 - 30 วันและคนไข้บางรายอาจไม่ต้องใช้ยาแก้ภูมิแพ้อีกเลย

อย่างไรก็ดี เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและผู้เข้ารับการบำบัดรายอื่น ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคอวัยวะ
ภายในล้มเหลว โรคความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง โรคเลือด วัณโรค มะเร็ง ผู้มีอาการทางจิต ผู้ติดยาผู้เมาสุรา ผู้ที่อ่อนเพลียและน้ำหนักลดผิดปกติ สตรีมีครรภ์ ผู้มีไข้สูงรวมทั้งเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบเข้าถ้ำเกลือค่ะ
ลดเกลือเพื่อชีวิต
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่น้ำอัดลม ข้าวโพดคั่ว และถั่วอบโรยเกลือจะวางขายคู่กันหน้าโรงหนัง คนที่อยู่ในภาวะอารมณ์สนุกรื่นเริงจะเลือกกินของเค็มมัน ของเค็มทำให้กระหาย มีผลทำให้น้ำอัดลมแก้วใหญ่พิเศษขายดี และเพราะเหตุนี้ คนเราจึงบริโภคเกลือเกินปริมาณที่ร่างกายกำหนด เมื่อเกิดการสะสมก็ย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกาย คนติดเค็มทั้งหลายควรพึงระวังให้ดี แม้เกลือจะมีคุณค่า แต่ว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้นค่ะ
จึงขอปิดประเด็น “เกลือ” คราวนี้ด้วย 5 เทคนิคลดเกลือ ลดโรค สำหรับคนป่วยและคนเสี่ยงจะป่วยค่ะ เพราะถ้าคุณกินเค็มจัดมาโดยตลอด หากจะงดไปเลยคงเป็นเรื่องยากหรืออาจฝืนใจ ถ้าเช่นนั้นลองเทคนิค
ง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณลดเค็มเพื่อลดโรค แต่ยังมีความสุขกับการกินได้อร่อย ดังนี้ค่ะ

1. เริ่มต้นที่ใจ ผู้ป่วยควรตระหนักรู้จากความรู้สึกภายในของตัวเองก่อนว่า การลดเกลือสำคัญกับชีวิต
ของเขาและช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ เช่น ช่วยคุมความดัน ช่วยชะลอการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ โดยไม่ใช่คุณหมอหรือลูกหลานพูดบังคับ

2. ปรับพฤติกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากปรับลดเครื่องปรุงรสในการปรุงอาหารและบนโต๊ะ
อาหาร เพื่อให้อาหารมีรสชาติกลมกล่อม แต่ไม่ใช่รสเค็มจัดหรือใส่น้ำปลาพริกตามความเคยชิน และที่สำคัญ ควรชิมอาหารก่อนเติมเครื่องปรุงรสต่างๆ 

3. ถ้าต้องการเพิ่มรสชาติอาหาร ให้ใช้เครื่องเทศแทนการใช้เกลือ เช่น น้ำส้ม มะนาว กระเทียม ขิง หัวหอม พริกเป็นต้น หรือใช้เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมต่ำแทนเครื่องปรุงรสสูตรปกติ (ยกเว้นในผู้ป่วยโรคไตและโรคหัวใจบางชนิดควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้)
4. หลังจากนั้นจำกัดอาหารที่มีโซเดียมมาก ได้แก่ อาหารที่มีรสเค็ม ทั้งเกลือ น้ำปลา ซอส หรือ
อาหารหมักดองอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป รวมถึงอาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก แต่ไม่มีรสเค็ม เช่น อาหารใส่ผงชูรส ผงฟู และสารกันบูด เป็นต้น 

5. เมื่อจับจ่ายซื้ออาหารสำเร็จรูป อ่านฉลากกำกับทุกครั้ง และเลือกซื้ออาหารที่ระบุชัดเจนว่า
"โซเดียมต่ำ" หรือ "ไม่มีเกลือ" หรือ "ไม่เติมเกลือ" เท่านั้น
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ “เกลือ” ผลึกขาวรสเค็มมากคุณค่ามาแต่ครั้งโบราณและสืบทอดคุณประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดีควรเลือกใช้เกลือให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อรสชาติอาหารและการรักษาสุขภาพนะคะ

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผลไม้ที่ทำให้อ้วนก็มีด้วย


สำหรับวิธีการลดความอ้วนที่แสนจะง่ายๆ และไม่ลำบากเกินไปสำหรับสาว ก็คือการลดอาหารแล้วทานผลไม้แทน ซึ่งต้องบอกว่าได้ผลดีและ มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด แต่สาวๆรู้กันบ้างไหมคะว่าผลไม้บางอย่างก็สามารถที่จะทำให้เราอ้วนได้เหมือนกัน 

การทานผลไม้บางชนิดแทนการทานอาหาร เช่น กล้วย ผรั่ง แอปเปิ้ล แก้วมังกร สับประรด มะม่วงสุก เป็นวิธีที่นิยมทำกัน แต่รู้ไหมคะว่าในผลไม้เหล่านี้มีปริมาณน้ำตาลธรรมชาติและแป้งที่สูงมากเหมือนกัน เช่น การทานมะม่วงสุก 3 ลูก(มีใครทานเยอะขนาดนี้ไหมคะ) จะให้ปริมาณพลังงานเท่ากับการทานข้าวขาหมู 1 จาน ซึ่งพลังงานจะมาในรูปแบบของแป้งและ น้ำตาล แล้วถ้าหากร่างกายเผาผลาญไม่หมด ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ทำให้อ้วน ลงพุงอยู่ดีคะ 

แต่การทานผลไม้เพื่อลดน้ำหนักก็ยังเป็นวิธีการที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าการอดอาหาร หรือการพิ่งยาลดน้ำหนักอยู่ดีคะ เพราะในผลไม้ก็ยังมีพวกไฟเบอร์ และวิตามินในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย แต่ก็มีผลไม้บางอย่างที่เราแนะนำคุณสาวๆว่าต้องหลีกให้ห่างถ้าหากต้องการที่จะมีหุ่นสวยนั้ก็คือ ทุเรียน, กล้วยไข่, กล้วยน้ำว้า, กล้วยหอม, ขนุน, มะม่วงสุก, เงาะ,  ลำไย, ลองกอง, ลางสาด, ละมุด


ถ้าหากต้องการที่จะลดน้ำหนักให้ได้ผลดีต้องควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ เพราะการที่ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานออกไปบ้างทำให้ร่างการแข็งแรง และมีหุ่นที่สวยงาม 

BabiesRus Online Store

น้ำผลไม้เสริมความจำ

     ผลไม้รสเปรี้ยวอย่างองุ่นและบลูเบอร์รี่เป็นแหล่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแต่ประโยชน์ของผลไม้ทั้งสองชนิดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะจากการศึกษาโดยทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยซินซินนาติสหรัฐอเมริกาพบว่า องุ่นพันธุ์คองคอร์ดและบลูเบอร์รี่ป่าช่วยให้ความจำดีขึ้นได้

ทีมวิจัยได้ทำการศึกษากับผู้สูงอายุ 2 กลุ่มที่มีปัญหาด้านความจำตามวัยพบว่ากลุ่มผู้สูงอายุ 12 คนที่ดื่มน้ำองุ่นคองคอร์ดเป็นประจำนาน 3 เดือนเริ่มมีความจำดีขึ้น เพราะน้ำองุ่นคองคอร์ดมีผลต่อการส่งสัญญาณประสาท กระตุ้นความจำ รวมทั้งมีสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบด้วย

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ 9 คนที่ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่ป่าต่อเนื่องนาน 3 เดือน พบว่าความจำเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพราะสารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รี่ป่าไปช่วยเพิ่มสัญญาณเส้นประสาทบริเวณสมองส่วนกลางและลดอัตราการเสื่อม ของเส้นประสาท

จากงานวิจัยทั้งสองชิ้นทำให้ได้ข้อสรุปว่า น้ำองุ่นและน้ำบลูเบอร์รี่ไม่เพียงแค่แก้กระหายเท่านั้นแต่ยังช่วยเรื่องสมองและความทรงจำได้อีกด้วย สงสัยต้องกินเยอะๆแล้วละคะ เพราะช่วงนี้จำอะไรไม่ค่อยได้ เอ๊ ถ้าต้มอาบได้น่าจะดีนะ ว่าแล้วก็อาบเอาเลยดีกว่าจะได้ความจำแม่นๆ ไปละคะ

อาหารเสริมอารมณ์

     คุณอาจคิดไม่ถึงว่าอาหารที่คุณรับประทานนั้นมีผลต่ออารมณ์ได้ และในทางตรงกันข้าม อารมณ์ของคุณก็มีผลกับอาหารที่คุณเลือกรับประทานด้วย อารมณ์ดีหรือไม่ดีนั้นมีผลมาจากความเครียด ความกังวลใจ ความตื่นเต้น หรือช่วงก่อนมีประจำเดือนและช่วงกำลังหมดประจำเดือนในผู้หญิง

มีอาหารใดที่รับประทานแล้วทำให้อารมณ์ดีขึ้นหรือไม่
คงจะไม่มี แต่แน่นอนว่าถ้าร่างกายขาดสารอาหารบางอย่างอาจทำให้เกิดอารมณ์เสียได้ จากงานวิจัย
พบว่า ผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 โฟเลท วิตามินบี 6 หรือวิตามินบี 12 จะทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่า และยังพบว่าผู้ที่ขาดโอเมก้า 3 ที่พบในปลาจะทำให้ เกิดโรคซึมเศร้า และมีอารมณ์แปรปรวนได้มากกว่าผู้ที่ได้รับสาร
โอเมก้า 3 อย่างเพียงพอ

ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ถ้าปล่อยให้ความเครียดนั้นสะสมมากขึ้น อาจทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจ และมีผลกับสุขภาพตามมา 
ความเครียดทำให้บางคนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร
ผอมแห้ง ไม่มีแรง สมองคิดอะไรไม่ออกเพราะกลูโคสไปเลี้ยงไม่พอ ภูมิคุ้มกันโรคน้อยลง เป็นหวัดได้ง่าย หรือรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้น้ำย่อยไปกัดกระเพาะอาหารเป็นแผลได้ โรคนอนไม่หลับก็เป็นผลที่ตามมาจากความเครียด ผู้ที่นอนไม่หลับบวกกับมีความเครียดอยู่ด้วย อาจหันไปหาของมึนเมาหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยให้ลืมความเครียดและช่วยให้นอนหลับ แต่ตามความเป็นจริงแล้วแอลกอฮอล์ทำให้ตื่นตอนกลางคืนบ่อย และทำให้นอนหลับไม่สนิท

ในทางตรงกันข้าม ความเครียดอาจทำให้บางคนรับประทานอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารหวานหรือ
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ความเครียดทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ทิซอล(Cortisol) สูงขึ้น ฮอร์โมนคอร์ทิซอล ตัวนี้ทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้รู้สึกหิว จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียใน
ซานฟรานซิสโก พบว่าผู้หญิงที่อยู่ในภาวะเครียดจะเลือกรับประทานของหวานที่มีไขมันสูงมากกว่าอาหารประเภทอื่นๆ และจะรับประทานในปริมาณที่มาก ผู้ใดที่จัดอยู่ในกลุ่มประเภทนี้อาจมีปัญหาเรื่องของน้ำหนักเกินได้

ผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนมักมีอารมณ์แปรปรวน 
ทางการแพทย์ว่า Premen stral Syndrome หรือ PMS บางคนมีอารมณ์แปรปรวนมากจนต้องพึ่งยา
โภชนาการก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ PMS เหมือนกัน ผู้เชี่ยวชาญพบว่าสารอาหารบางอย่างสามารถช่วย PMS ได้
บ้าง โดยเฉพาะแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบี 6

อาการของผู้ที่ขาดแคลเซียมนั้นคล้ายๆ กับอาการของ PMS จากงานวิจัยพบว่าผู้ที่ได้แคลเซียมเสริม
1,200 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งเท่ากับการดื่มนมวันละ 4 แก้วนั้น มีอาการของ PMS ลดน้อยลง โดยเฉพาะอาการ
เหนื่อยล้าและนอนไม่หลับ หลายๆ คนคงจะดื่มนมวันละ 4 แก้วไม่ได้ ก็อาจใช้ในรูปของอาหารเสริม ทางที่ดี
ควรรับประทานแคลเซียมเสริมพร้อมกับอาหาร จะทำให้การดูดซึมดีขึ้น

แมกนีเซียมเป็นสารอาหารที่พบมากในผักโขม งา เต้าหู้ เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วต่างๆ จมูกข้าวสาลี และสาหร่าย เมื่อรับประทานคู่กับวิตามินบี 6 พบว่าอาการซึมเศร้า ความกังวลใจ ความกลุ้มใจ ลดน้อยลงในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงก่อนมีประจำเดือน วิตามินบี 6 พบมากในมันฝรั่ง กล้วย แคนตาลูป ผักโขม ถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี และอาหารประเภทโปรตีนต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ถ้าจะรับประทานวิตามินบี 6 ในรูป ของอาหารเสริมนั้น ไม่ควรเกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะวิตามินบี 6 ในรูปของอาหารเสริมอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้
สำหรับผู้หญิงที่ชอบรับประทานช็อกโกแลต อาจสังเกตว่าก่อนมีประจำเดือนมักรับประทานช็อกโกแลต
เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะช็อกโกแลตมีทั้งน้ำตาล ไขมัน กาเฟอีน และแมกนีเซียม ซึ่งส่งผลทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่ข้อควรระวังคือตัวเลขของสายวัดรอบสะโพกคุณอาจเพิ่มขึ้นได้ เอาเป็นว่าผู้ที่อยาก หาวิธีที่จะทำให้อารมณ์ดีขึ้นในช่วงที่อารมณ์ แปรปรวนก่อนมีประจำเดือน ควรเลือกรับ ประทานอาหารให้หลากหลาย มีข้าวซ้อมมือ โปรตีนจากปลา เต้าหู้ ผัก ผลไม้ ถั่ว และมีช็อกโกแลตได้บ้างในบางโอกาสก็แล้วกัน

อารมณ์ไม่ดีอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าได้ด้วย 
ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ผู้ที่อดมื้ออาหาร ผู้ที่ไดเอ็ทหรือผู้ที่อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก มักรู้สึก
เหนื่อยล้า ทั้งนี้เนื่องจากอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ น้ำตาลในเลือดจะเริ่มลดลง 4 ชั่วโมงหลังจาก
รับประทานอาหาร การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง อาจช่วยให้คุณมีกำลังทำงานมากขึ้นในแต่ละวัน การรับประทานอาหารเช้าเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่อย่างกระปรี้กระเปร่า ผู้เชี่ยวชาญพบว่าผู้ที่งดอาหารเช้าจะทำให้เหนื่อยล้า มีอารมณ์แปรปรวน และมีความรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นในช่วงบ่ายถึงเย็น มากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้า อาหารเช้าที่ดีควรประกอบไปด้วยอาหารป ระเภทแป้งและโปรตีนควรเลือกแป้งที่มีน้ำตาลต่ำและมีเส้นใยอาหารสูง เช่น ขนมปังโฮลวีท ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง เป็นต้น

อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวานต่างๆ ลูกอม น้ำอัดลม น้ำหวาน อาจทำให้คุณมีพลังงานมากขึ้น
ทันที แต่พลังงานนี้จะลดลงเร็วมากเช่นกัน

ในชีวิตประจำวัน ความเครียด ความกังวลใจ ความรู้สึกโมโหหรือดีใจ เป็นอารมณ์ต่างๆ ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ อารมณ์ต่างๆ นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสุขภาพไม่มากก็น้อย การเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย
รับประทานอาหารเป็นเวลาออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มมึนเมามากๆ และทำจิตใจให้สงบ จะทำให้เรารับมือกับสิ่งต่างๆ ที่มีผลกับอารมณ์ได้

เมนูอารมณ์ดี 5 วัน

วันเช้ากลางวันเย็น
จันทร์แซนด์วิชทูน่า ส้ม 1 ผล
น้ำเต้าหู้
บะหมี่น้ำหมูแดงปู
ฝรั่ง 1 ผล
ข้าวกล้อง ยำถั่วพู ไก่ผัดขิง
แกงจืดสาหร่ายเต้าหู้
อังคารโจ๊กไก่ น้ำฝรั่งขนมจีนน้ำพริก กล้วยปิ้งข้าวต้ม หน่อไม้จีนผัดเห็ดหอม
ไข่พะโล้ ยำกุ้งแห้ง ปลาแห้ง
แคนตาลูปราดโยเกิร์ตพร่องมันเนย
พุธข้าวโอ๊ตต้ม (โจ๊ก) แอ๊ปเปิ้ลข้าวเหนียว ส้มตำ
ปลาซาบะย่าง
ข้าวกล้อง น้ำพริกอ่อง ผักสดสุก
เต้าหู้ผัดถั่วงอก แตงโมแช่เย็น
พฤหัสบดีขนมปังโฮลวีทปิ้งทาเนยถั่ว 2
แผ่น กล้วยหอม น้ำเต้าหู้
ข้าวคลุกกะปิข้าวกล้อง ตำผลไม้ ไก่ย่างจิ้มแจ่ว
ผักต้ม
ศุกร์ข้าวต้มปลา น้ำส้มคั้นสลัดทูน่า ขนมปังโรล
มะละกอโกโก้เย็นปั่น
ข้าวกล้อง ต้มข่าไก่ ปลาสามรส
ผัดผักรวม

simple xhtml
Netflix

ล้างพิษทางอารมณ์


     การทำ Emotion Detoxification คือการ สร้างพลังชีวิต

 (พลังลมปราณ) ให้กลับคืนสู่สมดุล ฝรั่งเรียกว่า “Bioelectric Power

ขั้นตอนล้างพิษทางอารมณ์ หรือ Emotion Detoxification
1. ขั้นแรกให้เริ่มต้นผ่อนคลายในท่านั่งสมาธิ หายใจเข้าออกให้ยาวกว่าปกติ และเมื่อได้ยินเสียงดนตรี
ให้ยึดหลัก “ได้ยินที่หู รู้ที่ใจ” กำหนดสติอยู่ที่เสียงดนตรี แล้วค่อยๆ หมุนตัวเพื่อให้เกิดลมปราณ พลังจากการหมุนจะทำให้ลมปราณไหลเข้าสู่ร่างกายเพื่อปรับสมดุล ส่วนแรงเหวี่ยงที่เร็วและแรงจะช่วยทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น 

2. ครู่เดียวจะเริ่มรู้สึกเหมือนมีแรงดันจากข้างใน ทำให้ต้องระบายออกด้วยการไอ เรอ สำรอก หรือแม้
กระทั่งร้องไห้ออกมา บางคนปล่อยออกมาด้วยการกรี๊ด บ้างก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั่วห้อง ก่อนจะอาเจียนออกมาชุดใหญ่

3. ทั้งหมดนี้คือแรงดันจากจิตสำนึก สามารถปลดปล่อยออกมาได้หลายอาการ เช่น ร้องไห้ หัวเราะ โกรธ พักผ่อน (นอน) ไอ สำรอก อาเจียน กรี๊ด ฯลฯ ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจ เพราะเป็นการล้างพิษทาง
อารมณ์ที่หมักหมมให้หมดไป ทั้งหมดนี้อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่อย่างใด ข้อนี้
ยืนยันได้ เพราะระหว่างที่เราล้างพิษนั้น สติสัมปชัญญะยังอยู่ครบถ้วนทุกขณะ

4. พอระบายสิ่งที่อัดอั้นแล้วให้นอนนิ่งๆ สักพัก เพื่อนวดศีรษะและร่างกายให้ผ่อนคลายพอจบคอร์สเรา
แทบอยากจะร้องเพลงสบาย สบายของพี่เบิร์ดออกมาดังๆ ก็มันโล่งจริงๆ นี่นา
ประโยชน์ที่ได้รับ
  • การล้างพิษทางอารมณ์ช่วยให้สมองโล่ง เบาสบาย ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
  • ช่วยเร่งให้ร่างกายขับพิษได้เร็วขึ้น
  • ช่วยลดการเจ็บปวดจากสาเหตุต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคตาม
    ธรรมชาติ
  • ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณดี หน้าใส มีเลือดฝาด
  • ช่วยปรับพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น จากที่อารมณ์ร้อนหงุดหงิดง่ายก็ช่วยให้ใจเย็นขึ้น หรือจากคนที่ชอบคิดวิตกก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น

รู้จักโรคอารมณ์สองขั้ว


    เคยสังเกตอารมณ์คนรอบข้างบ้างไหม บางคนอารมณ์ดีได้ทั้งวันและบางคนก็อารมณ์เสียได้ทั้งวันเช่นกัน

อารมณ์ของคนเราอาจจะขึ้นๆ ลงๆ ได้ในแต่ละวันตามสถานการณ์รอบข้าง แต่สำหรับคนที่ฝึกจิตมาดีแล้ว จะสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ มีอิทธิพลเหนือจิตใจ อย่างไรก็ตาม บางครั้งหากเกิดความผิดปรกติในร่างกาย ก็อาจส่งผลให้อารมณ์ผิดปรกติได้เช่นกัน อย่างเช่น โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) ซึ่งเกิดขึ้นจากความผิดปรกติของสมอง
ทำความรู้จักกันสักนิด 
ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน 2 แบบ แบบแรกมีลักษณะอารมณ์
และพฤติกรรมเป็นแบบ ซึมเศร้า แบบที่สองมีลักษณะคึกคักพลุ่งพล่าน ซึ่งเรียกว่า แมเนีย (Mania) ผู้ป่วยโรคนี้อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงไปจากปรกติเป็นช่วงๆ โดยเป็นแบบซึมเศร้าตามด้วยช่วงเวลาที่เป็นปรกติดี จากนั้นอีกเป็นปีอาจเกิดอาการแบบแมเนียขึ้นมา หรือบางคนอาจเริ่มต้นด้วยอาการแบบแมเนียก่อนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องตามด้วยอาการด้านตรงข้ามเสมอไป เช่น อาจมีอาการแบบซึมเศร้า - ปรกติ - ซึมเศร้า - แมเนีย
ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการแสดงออกมาทั้งในด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม โดยในแต่ละระยะจะมีอาการนานหลายสัปดาห์จนอาจถึงหลายเดือนหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งรายละเอียดของอาการในระยะต่างๆ มีดังนี้
  • อาการในระยะซึมเศร้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดจากเดิมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ติดละคร หรือติดข่าว ก็ไม่สนใจติดตาม อะไรๆ ก็ไม่เพลินใจไปหมด คุณยายบางคนหลานมาเยี่ยมแทนที่จะดีใจ กลับรู้สึกเฉยๆ บางคนจะมีอาการซึมเศร้า อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร้องไห้เป็นว่าเล่น บางคนจะหงุดหงิด ขวางหูขวางตาไปหมด ทนเสียงดังไม่ได้ ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย อาการเบื่อเป็นมากจนแม้แต่อาหารการกินก็ไม่สนใจ บางคนน้ำหนักลดฮวบฮาบก็มี บางคนความจำแย่ลง มักหลงๆ ลืมๆ เพราะใจลอย ตัดสินใจอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจไปเสียหมด และมักมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบ คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น ไม่มีใครสนใจไยดีตัวเอง ถ้าตายไปคงจะดี จะได้พ้นทุกข์เสียที หากญาติหรือคนใกล้ชิดได้ยินผู้ป่วยพูดแบบนี้ให้พยายามพูดคุย รับฟังสิ่งที่เขาเล่าให้มากๆ
  • อาการในระยะแมเนีย ผู้ป่วยจะมีอาการเปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่ง จะรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ความคิดไอเดียต่างๆ แล่นกระฉูด เวลาคิดอะไรจะมองข้ามไป 2 - 3 ช็อตจนคนตามไม่ทันการพูดจาจะลื่นไหล คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี เรียกว่าเจอใครก็เข้าไปทักไปคุย เห็นใครก็อยากจะช่วย ช่วงนี้ผู้ป่วยจะหน้าใหญ่ใจโต ใช้จ่ายเกินตัว ถ้าเป็นคุณตาคุณยายก็บริจาคเงินเข้าวัดจนลูกหลานระอา ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทก็จัดงานเลี้ยง แจกโบนัส มีโครงการต่างๆ ในหัวมากมาย พลังงานเหลือเฟือนอนดึกเพราะมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด ตีสี่ก็ตื่นแล้ว ตื่นมาก็ทำโน่นทำนี่เลย ด้วยความที่สนใจสิ่งต่างๆ มากมาย ผู้ป่วยโรคนี้จะมีจิตใจวอกแวก ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะทำงานมาก แต่ก็ไม่เสร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ความยับยั้งชั่งใจมีน้อยมาก เรียกว่าพอนึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที หากมีใครมาห้ามจะโกรธรุนแรง อาการในระยะนี้หากเป็นมากๆ จะพูดไม่หยุด คุยเสียงดัง เอาแต่ใจตัวเอง และโกรธรุนแรง ถ้ามีคนขัดขวางอาจถึงขั้นอาละวาด
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็น 
อาการระยะซึมเศร้าจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเป็นหลังมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ เช่น สอบตก
เปลี่ยนงาน มีปัญหาครอบครัว แต่จะต่างกว่าปรกติตรงที่ผู้ป่วยจะเศร้าเป็นระยะเวลานาน ทำงานไม่ได้หรือขาดงานบ่อยๆ

ส่วนอาการระยะแมเนียมักเกิดขึ้นเร็วและเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายใน 2 - 3 สัปดาห์อาการจะเต็มที่
อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าวจนญาติรับไม่ไหวต้องพามาโรงพยาบาล อาการในครั้งแรกๆ จะเกิดหลังมีเรื่องกดดัน แต่หากเป็นหลายๆ ครั้งก็มักเป็นขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรมากระตุ้นเลย

นอกจากนั้น ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแมเนียจะไม่คิดว่าตัวเองผิดปรกติ แต่จะมองว่า
ช่วงนี้ตัวเองอารมณ์ดีหรือใครๆ ก็ขยันกันได้ ในขณะที่หากเป็นระยะซึมเศร้า ผู้ป่วยจะพอบอกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไปจากเดิม 

ในระยะซึมเศร้า หากคนใกล้ชิดสนใจมักสังเกตไม่ยาก เพราะผู้ป่วยจะซึมลง ดูอมทุกข์ แต่อาการแบบ
แมเนียจะบอกยาก โดยเฉพาะในระยะแรกๆ ที่อาการยังไม่มาก เพราะดูเหมือนจะเป็นแค่คนขยันอารมณ์ดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าสังเกตจริงๆ ก็จะเห็นว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา
อยู่กับโรคอย่างไรให้มีความสุข 
การปฏิบัติตัวที่สำคัญของผู้ป่วยโรคนี้ ได้แก่
  • การรักษาความสม่ำเสมอในการดำเนินกิจวัตรพื้นฐานประจำวัน ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการนอน พบว่าการนอนน้อยติดต่อกันหลายวันทำให้อาการแกว่งไกวได้ จึงควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลาหลีกเลี่ยงการนอนดึกหรือดื่มแอลกอฮอล์
  • ในช่วงที่เริ่มมีอาการแมเนีย ให้เลี่ยงการตัดสินใจที่สำคัญๆ หาหลักควบคุมการใช้เงิน หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์มากๆ ให้คนใกล้ชิดและญาติคอยเตือนเมื่อเห็นว่าตนเองมีพฤติกรรมที่อาจไม่เหมาะสม
  • ในช่วงซึมเศร้า เลี่ยงการตัดสินใจที่สำคัญๆ เช่น การลาออกจากงาน ที่สำคัญ อย่ากดดันตัวเองให้ทำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องการการพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ การกระตุ้นตนเองมากเกินไปกลับจะยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ที่ทำไม่ได้อย่างที่หวัง
  • ความเข้าใจจากคนใกล้ชิดและญาติมีส่วนสำคัญ ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการรักษาให้ตนเองกลับสู่สภาพปรกติ นอกจากนั้นญาติยังมีส่วนสำคัญในการสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกลับเป็นซ้ำหรือไม่ เพราะในช่วงแรกที่อาการยังไม่มาก ผู้ป่วยจะไม่ทราบว่าตนเองเปลี่ยนแปลงไป
โรคอารมณ์สองขั้วเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปรกติของสมองและสามารถรักษาให้หายได้ หากไม่แน่ใจ
ว่าตนเองเป็นโรคนี้หรือไม่ควรจะไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา ส่วนผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ก็ควรจะติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุดนั่นเอง

อากาศเปลี่ยน ระบบการหายใจเปลี่ยน


    ถ้าจะบอกว่าระบบการหายใจก็ไม่แตกต่างจากแฟชั่นเสื้อผ้า ซึ่งต่างกันไปตามฤดู ก็คงไม่ผิด เพราะเมื่ออากาศเปลี่ยน ก็ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพื่อให้ปอดได้รับอากาศที่สดชื่นอย่างแท้จริง


แต่เพราะเราเผชิญกับฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นประจำมาตั้งแต่เกิด ระบบร่างกายของเราจึงมี
ความสามารถพิเศษ ในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี ยกเว้นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ ก็ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถปรับได้ทัน และอาจเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ดังกรณีตัวอย่างต่อไปนี้

ฤดูร้อน ฤดูแล้ง มลพิษแห่งการหายใจ
ถ้าคุณคิดว่า หน้าร้อน คือฤดูที่หายใจโล่งที่สุด เพราะไม่ต้องเผชิญกับความชื้น ไม่ต้องเสี่ยงเป็นหวัด
เพราะอากาศที่เย็นจัด ขอบอกว่าคุณกำลังคิดผิด แม้ว่าในฤดูร้อนจะไม่มีศัตรูตัวฉกาจอย่างความชื้นและความเย็น แต่ทว่าสิ่งที่กลัวกว่าคือ ศัตรูที่มาพร้อมกับความแห้งแล้ง นั่นคือ ฝุ่นผง ทั้งที่สามารถมองได้เห็นด้วยตาเปล่าและฝุ่นผงขนาดเล็กซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10 ไมครอนลงมา จัดเป็นฝุ่นละอองที่เป็น
มลพิษ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ ฝุ่นควันรถยนต์ เครื่องจักร โรงงาน หรือการเผาไหม้ของขยะและไฟป่า

ปัญหาดังกล่าวจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ที่อากาศไม่มีการถ่ายเท ลมสงบนิ่ง หรือเป็นชุมชนแออัดที่ขาดการจัดการเรื่องมลพิษทางอากาศ หากคุณจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จึงควรรู้จักป้องกันก่อนป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจในหน้าร้อน
  • ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อช่วยลดการหายใจเอาฝุ่นควันพิษเข้าไป หากฝุ่นควันมีมากให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดปาก ปิดจมูก
  • งดออกกำลังกายในที่โล่ง เพื่อป้องกันไม่ให้สูดเอาฝุ่นควันเข้าร่างกาย
  • งดเผาขยะ เพื่อลดจำนวนฝุ่นควันที่จะเพิ่มขึ้นในละแวกบ้าน
ฤดูฝน ฤดูแห่งความร้อน ชื้น 
เพราะฤดูฝนคือฤดูที่มาพร้อมกับความร้อน และความชื้น จึงเป็นฤดูที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้ว่า
อากาศจะร้อนมากแค่ไหน หรือเย็นและชื้นเพราะฝนที่ตกลงมามากเท่าไร สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายปรับตัวรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ทัน ไข้หวัดใหญ่เป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายที่พบมากในฤดูฝน เนื่องจาก ไข้หวัดใหญ่ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมักไม่ทนต่อความร้อนในฤดูร้อน แต่เมื่ออากาศเย็นลงเชื้อจะทนทานมากขึ้น แพร่กระจายง่ายขึ้น เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม จะพบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหลายชนิด แบ่งเป็น โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ โรคหวัด และโรค
ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ โรคหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบ


วิธีการที่จะทำให้คุณและระบบทางเดินหายใจของคุณปลอดภัยจากโรคร้ายดังกล่าว สามารถทำได้เพียงง่ายๆ แต่รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน คือ
  • ล้างมือทุกครั้งก่อนทานอาหาร ไม่ควรเอามือเข้าปาก จับจมูกหรือจับตา เพราะอาจสัมผัสโดนน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือจับสิ่งของที่มีเชื้อโรคเกาะอยู่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้ นอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงไปในที่ที่มีคนแออัด
  • เปิดหน้าต่างภายในบริเวณบ้านให้แสงแดดช่วยกำจัดเชื้อไวรัสที่กระจายออยู่ในอากาศ หรือหากเป็นบริเวณที่ไม่มีอากาศถ่ายเท อาจใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบกำจัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ช่วยลดโอกาสแพร่เชื้อได้ส่วนหนึ่ง
ฤดูหนาว ปลายฝนต้นหนาว ทางตันของระบบหายใจ
ช่วงที่น่ากลัวที่สุดของฤดูหนาว ไม่ใช่แค่ช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุด แต่มันคือช่วงรอยต่อปลายฝนต้น
หนาว โดยเฉพาะเด็กจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กมีขนาดเล็กกว่าของผู้ใหญ่จึงอุดตันได้ง่ายกว่า เพราะอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ทางเดินหายใจ เยื่อบุจมูก และเยื่อบุในช่องปากค่อนข้างแห้ง ไม่มีเมือก (Mucous) มาป้องกันเซลล์จากเชื้อโรค เชื้อโรคจึงสัมผัสกับ
เซลล์โดยตรง ส่งผลให้มีหลายคนป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด
หัดเยอรมัน เป็นต้น และเป็นตัวการกระตุ้นให้โรคประจำตัวกำเริบได้ง่ายขึ้น


ลองมาดูกันสิว่า เราควรจะปรับระบบการหายใจอย่างไร เพื่อให้ฤดูหนาวเย็นสบายและมีสุขภาพดีตลอดฤดู
  • คนที่เป็นภูมิแพ้ง่ายหรือเป็นโรคหอบหืด ความเย็นของฤดูหนาวคือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีอากาศเย็นจัดและควรใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่นตลอดเวลา
  • คนส่วนหนึ่งเลือกผิงไฟเพื่อบรรเทาอาการหนาว แต่รู้หรือไม่ว่าควันไฟและขี้เถ้าจะกระตุ้นให้อาการ
    หอบหืดกำเริบ และทำให้ภูมิต้านทานของระบบทางเดินหายใจลดลงอีกด้วย
  • ไม่ควรดื่มสุราแก้หนาวแต่ควรสวมใส่เสื้อผ้าและจิบน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นจัด โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่อยู่ในออฟฟิศที่ติดเครื่อง
    ปรับอากาศ ประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท
  • ให้ความสำคัญกับการล้างมือเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
  • ถ้าคุณป่วย ควรใส่หน้ากากป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่คนอื่น